ขอต้อนรับสู่ Freedom Jobs เว็บบล็อกสำหรับคนรัก อาชีพอิสระ ...
ในปัจุบันนี้ เชื่อว่าหลายๆคนกำลังมองหา อาชีพอิสระ ที่เลือกได้ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ทำเอง จัดการเอง กินเอง และ ถ้ายิ่งได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับธรรมชาติ ที่อากาศบริสุทธิ์ด้วยแล้ว คงเป็นอะไรที่วิเศษที่เดียว แน่นอนครับ เรามีอาชีพที่น่าสนใจมาแนะนำ ซึ่งก็มีทั้ง ด้านการเกษตร การเงิน คอมพิวเตอร์ การหารายได้เสริมออนไลน์ (หารายได้จากเน็ต) ..
มีอะไรบ้างก็ติดตามหาข้อมูลได้เลยครับ...

กระดานเทรดเหรียญคริปโตของไทย

BX.in.th Bitcoin Exchange Thailand

การปลูกมะพร้าวน้ำหอม

มะพร้าวน้ำหอม

มะพร้าวน้ำหอม เป็นพืชที่มีอนาคตในด้านการส่งออก และแปรรูปในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมากขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษคือเนื้อมะพร้าวมีรสชาติหวาน กลมกล่อมและมีกลิ่นหอมชื่นใจสามารถช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดี นอกจากนี้มะพร้าว ก็ได้ชื่อว่าเป็นผลไม้ที่ปลอดสารพิษชนิดหนึ่ง เนื่องจากเกษตรกรมีการใช้สารเคมีน้อยมาก
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- น้ำฝน ฝนควรตกกระจายสม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี ไม่ควรมีฝนตกน้อยกว่า 5๐ มิลลิเมตร เกิน 3 เดือน
- สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิเฉลี่ย 27 องศาเซลเซียส จะสูงหรือ ต่ำกว่านี้ไม่เกิน 7-8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิไม่ควรเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
- แสงแดด มะพร้าวควรได้รับแสงแดดอย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อวัน แสงแดดต้องสาดส่องอย่างเสมอตลอดปี มะพร้าวจะเติบโตได้ดี
- ลม ควรมีลมพัดอ่อน ๆ แต่พัดอย่างสม่ำเสมอ
- ดิน ไม่เปรี้ยวหรือเค็มจัด จะเป็นดินอะไรก็ ได้ที่มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ และความชื้นพอเหมาะ แต่ถ้าเป็นดินน้ำไหลทรายมูลที่เกิดจากน้ำพัดพา มาสะสม เช่น ดินริมแม่น้ำ จะปลูกมะพร้าวได้ดีที่สุด
การเตรียมหลุมปลูก
ควรเตรียมหลุมปลูกในฤดูแล้ง ขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซนติเมตร แยกดินส่วนบนไว้ต่างหาก ตากลุมอย่างน้อย 1 สัปดาห์ถ้ามีปลวกให้เผาเศษไม้ ใบไม้แห้งในหลุม หรืออาจใช้ยากันปลวกโรยก้นหลุมก็ได้ ถ้าปลูกมะพร้าวในพื้นที่แห้งแล้งหรือดินที่ปลูกเป็น ทรายจัดให้ใช้กาบมะพร้าวก้นหลุม โดยวางกาบมะพร้าวในด้านที่มีเส้นใยหงายขึ้นข้าง บนวางซ้อนกัน 2-3 ชั้น เพื่อช่วยเก็บความชื้นในดิน ถ้าไม่มีกาบมะพร้าวจะใช้วัสดุอื่น เช่น ฟางข้าว ใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง ฯลฯ แทนก็ได้ ใส่ดินบนที่ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1:7 รองก้นหลุมส่วนดินล่างผสมด้วยปุ๋ยฟอสเฟตหลุมละครึ่งกิโลกรัม (ประมาณ 2กระป๋องนม) เอาดินใส่ลงในหลุมให้เต็ม ทิ้งไว้จนถึงฤดูปลูก
วิธีการปลูกมะพร้าวน้ำหอม
-ควรปลูกในฤดูฝนจะดีที่สุด
-ขุดดินบนหลุมปลูกที่เตรียมไว้ให้เป็นหลุมเล็ก ๆ ขนาดเท่าผลมะพร้าว
-เอาหน่อที่คัดเลือกแล้วมาตัดรากที่หักช้ำออก ใช้ปูนขาวหรือยากันเชื้อราทาตรงรอยตัด วางหน่อลงในหลุม ให้หน่อตั้งตรง หันหน่อไปในทิศทางเดียวกัน
-กลบดินอย่างน้อย 2/3 ของผล หรือให้มิดผลมะพร้าวพอดีแต่ระวังอย่า ให้ดินทับโคนหน่อ เพราะจะทำให้หน่อถูกรัด ต้นจะโตช้าแต่เมื่อมะพร้าวโตขึ้นแล้วก็ควรจะกลบ ดินให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันโคนลอย
-เอาไม้ปักเป็นหลักผูกยึดกับต้นให้แน่น เพื่อป้องกันลมโยกเหยียบดินรอบโคนหน่อให้แน่น
-ควรทำร่มให้ในระยะแรก เพื่อลดอัตราการตายเนื่องจากถูกแดดจัดเกินไป
-ในบริเวณที่ปลูกถ้ามีสัตว์เลี้ยงให้ทำรั้วป้องกันสัตว์มาทำลาย
การให้น้ำ ในการปลูกมะพร้าวน้ำหอมในปีแรก ควรใช้น้ำทุกสัปดาห์เมื่อมะพร้าวโตขึ้นอาจให้น้ำทุก 2 สัปดาห์
การใส่ปุ๋ย
ไนโตรเจน 9.44 - 15.68 กิโลกรัมต่อไร่
ฟอสฟอรัส 4.23 – 7.36 กิโลกรัมต่อไร่
โพแทสเซียม 13.60 – 20.20 กิโลกรัมต่อไร่
แคลเซี่ยม 13.60 กิโลกรัมต่อไร่
แมกนีเซี่ยม 5.6 กิโลกรัมต่อไร่
ฤดูที่เหมาะสมที่สุดที่จะใส่ปุ๋ยให้เหมาะแก่มะพร้าว คือ ในช่วงต้นและปลายฤดูฝน เพราะในช่วงนี้มีความ ชื้นเพียงพอที่จะ ช่วยละลายปุ๋ยและรากของมะพร้าวกำลังเจริญอย่างเต็มที่สามารถ ดูดปุ๋ยไปใช้ได้ดี
การกำจัดวัชพืช-ใช้แรงงานคน โดยการถางด้วยจอบ หรือดายด้วยมีด-ใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถตัดหญ้า รถไถขนาดเล็ก-ปลูกพืชคลุมจำพวกหรือตระกูลถั่ว เช่น คาโลโปโกเนียมเพอร์ราเรีย หรือเซ็นโตรซีมา โดยปลูกห่างจากโคนต้นประมาณ 2 เมตร
ราคาขายโดยประมาณ ตามท้องตลาด 7.50-9 บาท/ผลมะพร้าวน้ำหอมเผา 8-20 บาท/ผล

การปลูกกล้วยไข่

การปลูกกล้วยไข่
กล้วยไข่ หรือ กล้วยกระ,กล้วยเจ็กบอง กล้วยไข่เป็นผลไม้ที่นิยมผู้บริโภคกันทั่วไป เนื่องจากมีรสชาติดี ลักษณะการเรียงตัวของผลและสีผลสวยงานน่ารับประทาน
ลักษณะทั่วไป
- ต้น ลำต้นสูง 2. 5 - 3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 16 - 20 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกสีเขียวปนเหลือง มีประสีน้ำตาลอ่อน ด้านในสีชมพูอมแดง
- ใบ ก้านใบสีเขียวอมเหลือง มีร่องกว้าง โคนก้านมีครีบสีชมพู
- ดอก ก้านช่อดอก มีขนอ่อน ปลีรูปไข่ ม้วนงอขึ้น ปลายแหลม ด้านนอกสีแดงอมม่วง ด้านในที่โคนกลีบสีซีด
- ผล เครือหนึ่งมี 6 - 7 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 14 ผล ผลค่อนข้างเล็ก ก้านผลสั้น เปลือกผลบางเมื่อสุก มีสีเหลืองสดใส บางครั้งมีจุดดำเล็ก ๆ ประปราย เนื้อสีครีม อมส้ม รสหวาน

พื้นที่ปลูกที่เหมาะสม
สภาพพื้นที่

- พื้นที่ดอน หรือพื้นที่ราบ ไม่มีน้ำท่วมขัง

- ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,200 เมตร

- มีแหล่งน้ำธรรมชาติ หรืออยู่ในเขตชลประทาน

- การคมนาคมสะดวก
ลักษณะดิน
- ดินร่วน, ดินร่วนเหนียว หรือดินร่วนปนทราย
- มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำดี
- ระดับน้ำใต้ดินลึกมากกว่า 75 เซนติเมตร
- ค่าความเป็นกรดด่างของดินระหว่าง 5.0-7.0
แหล่งน้ำ
- มีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูปลูก
- เป็นแหล่งน้ำสะอาด ค่าความเป็นกรดด่างของน้ำระหว่าง 5.0-9.0

การเตรียมดิน
- วิเคราะห์ดิน เพื่อประเมินค่าความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชในดิน และความเป็นกรดด่างของดิน ปรับสภาพดินตามคำแนะนำก่อนปลูก
- ไถพรวน ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน เพื่อลดการระบาดของศัตรูพืช
- คราดเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง

วิธีการปลูกกล้วยไข่
- ปลูกด้วยหน่อใบแคบที่มีความสมบูรณ์ดี
- เตรียมหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร
- รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกอัตรา 5 กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้ากับหน้าดินรองก้นหลุมปลูกถ้ามีการไว้หน่อ (ratoon) เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปอีก 1-2 รุ่น ควรรองก้นหลุมด้วย หินฟอสเฟต อัตรา 100-200 กรัม/หลุม
- ระยะปลูก (1.5-1.75) x2 เมตร เป็นการปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงครั้งเดียว แล้วรื้อปลูกใหม่ 2x2 เมตรเป็นการปลูกสำหรับไว้ตอหรือหน่อ (ratoon) เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตของหน่อ (ratoon) อีก 1-2 รุ่น
- การปลูก วางหน่อพันธุ์ที่หลุมปลูกให้ลึก 25-30 เซนติเมตร โดยจัดวางหน่อพันธุ์ให้ด้านที่ติดกับต้นแม่อยู่ในทิศทางเดียวกัน กลบดินลงหลุมปลูกและกดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
การดูแลรักษา
การพรวนดิน: ภายหลังปลูกกล้วยไข่ประมาณ 1 เดือนควรรีบทำการพลิกดินให้ทั่วทั้งแปลงปลูก เพื่อให้ดินเก็บความชื้นจากน้ำฝนไว้ให้มากที่สุด และเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วย ขณะที่รากกล้วยยังขยายไปไม่มากนัก
การกำจัดวัชพืช:ควรกำจัดวัชพืชปีละ 3 ครั้ง ครั้งแรกพร้อม ๆ กับการพลิกดิน ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 ให้พิจารณา จากปริมาณวัชพืช แต่จะทำก่อนที่ต้นกล้วยตกเครือ
การให้ปุ๋ย:ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 1 ครั้ง เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูกอัตรา 3-5 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปุ๋ยเคมี 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 และ 2 เป็นระยะที่กล้วยมีการเจริญเติบโตทางลำต้น ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-10 หรือ 15-15-15 อัตรา 125-250 กรัมต่อต้นต่อครั้ง หลังจากปลูก 1 และ 3 เดือน การให้ปุ๋ยเคมีครั้งที่ 3 และ 4 จะให้ปุ๋ยเคมีภายหลังจากปลูก 5 และ 7 เดือน ซึ่งเป็นระยะที่กล้วยใกล้จะให้ผลผลิต จะให้ปุ๋ยเคมีสูตร 12-12-24, 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 125-250 กรัมต่อต้นต่อครั้งวิธีการใส่ปุ๋ยเคมี โรยห่างจากต้นประมาณ 30 เซนติเมตร หรือใส่ลงในหลุมลึกประมาณ 10 เซนติเมตร 4 ด้าน แล้วพรวนดินกลบ
การให้น้ำ:ในฤดูฝน เมื่อฝนทิ้งช่วง เมื่อสังเกตหน้าดินแห้งและเริ่มแตก ควรรีบให้น้ำในฤดูแล้งเริ่มให้น้ำตั้งแต่หมดฝน ประมาณปลายเดือนมกราคม-พฤษภาคม
ราคาขายโดยประมาณ ตามท้องตลาด กิโลกรัมละ 8-12บาท หรือ หวีละ ประมาณ 23 บาท

การปลูกกล้วยหอม

กล้วยหอม
กล้วยหอม เป็นอีกหนึ่งผลไม้ไทยที่ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อในสุกเหนียวหนึบ มีกลิ่นหอม รสหวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ รสชาติอร่อย และมีผลงานวิจัยแล้วว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่ ต่อหน่วยเลยทีเดียว ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที
พันธุ์และลักษณะประจำพันธุ์ของกล้วยหอม
จะมีอยู่ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ
1. กล้วยหอมทองต้นสูง ต้นสูงประมาณ 2-4 เมตร ลำต้นอบใหญ่ กาบสีดำเป็นบางส่วน เครือใหญ่ ผลยาว เมื่อสุกมีกลิ่นหอมมาก สีผิวของเปลือกเป็นสีเหลือง เปลือกไม่ยุ่ย
2. กล้วยหอมทองค่อม ต้นสูงประมาณ 1.5-2 เมตร ลำต้นอวบใหญ่ ต้นเตี้ย ผลสั้น เครือเล็กกว่า กลิ่นหอมน้อยกว่าพันธุ์ต้นสูง

ลักษณะดินและพื้นที่ที่เหมาะสม
ดินที่จะปลูกกล้วยหอมทอง ควรเป็นดินร่วน น้ำไม่ท่วมขัง มีอินทรียฺวัตถุสูง มีแหล่งน้ำเพียงพอตลอดฤดูปลูก
การเตรียมดินปลูก ดินที่จะปลูกกล้วยหอมทอง จะต้องเตรียมดินให้ร่วนซุย โดยไถด้วยผานเจ็ด 2 ครั้ง หรือจะใช้รถไถเดินตามไถครั้งแรก แล้วตากหน้าดินไว้ 7-10 วันเพื่อกำจัดวัชพืช และศัตรูพืชที่ตกค้างอยู่ในดิน หากมีวัชพืชงอกขึ้นมาหลังจากนั้นให้ไถกลบอีกครั้ง เพื่อเป็นการกำจัดวัชพืช ให้ลดน้อยลง ดินตรงไหนที่เป็นแอ่งควรปรับดินให้มีความลาดเท เพื่อป้องกันมิให้น้ำท่วมขังในช่วงหน้าฝน

การเตรียมหน่อปลูก
ขุดหน่อกล้วยโดยใช้ชะแลงตัดหน่อให้แยกออกจากกอเดิมก่อน แล้วใช้จอบขุดให้รอบเพื่อให้รากขาด จากนั้นให้ใช้ชะแลงงัดหน่อกล้วยขึ้นมา วิธีนี้จะทำให้หน่อกล้วยที่ได้ไม่ช้ำและหลุดออกง่าย เมื่อขุดหน่อได้แล้วให้ใช้มีดคมๆ ปาดรากกล้วยที่ยาวออกให้เหลือรากติดเหง้ากล้วยประมาณ 1 นิ้วเป็นพอ

วิธีการปลูกกล้วยหอม
การปลูกกล้วยหอมทองจะใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร ซึ่งเป็นระยะปลูกที่เหมาะสม หรือจะใช้ระยะปลูก 3.5 x 3.5 เมตรก็ได้เช่นกัน การเลือกใช้ระยะปลูกกล้วยหอมทองนั้นขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินในพื้นที่ แต่ถ้าใช้ระยะปลูกที่ถี่ไปกว่านี้จะทำให้ต้นกล้วยมีอาการสูงชะลูโ เครือกล้วยเล็ก เมื่อ
โตเต็มที่ เพราะความหนาแน่นของต้นกล้วยที่มีมากกเกินไปทำให้กล้วยที่ปลูกได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ
- ใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร จะปลูกกล้วยได้ 177 ต้นในพื้นที่ 1 ไร่
- ใช้ระยะปลูก 3.5 x 3.5 เมตร จะปลูกกล้วยได้ 133 ต้นในพื้นที่ 1 ไร่
หลังจากวัดระยะปลูกและปักหลักเรียบร้อยแล้ว ขุดหลุมลึกประมาณ 40 ซม. หรือ 1 ศอก กว้างประมาณ 1 ศอก นำหน่อกล้วยที่ตัดรากออกลงหลุม แล้วกลบดิน เหยียบดินให้แน่น เมื่อกลบดินได้ครึ่งหลุม เพื่อไม่ให้ต้นกล้วยโยกคลอน หลังจากนั้นกลบดินให้เต็มหลุมแต่ไม่ต้องกดดิน
การตัดใบกล้วยหลังจากปลูก
ถ้าเป็นหน่อใบแคบหลังจากปลูกแล้วไม่จำเป็นต้องตัดใบทิ้ง แต่ถ้าเป็นหน่อในกว่างหรือหน่อที่เคยปาดเฉียงมาก่อน ควรจะมีการปาดเฉียงลำต้นใหม่เพื่อที่กล้วยจะได้แตกใบใหม่ที่แข็งแรงขึ้น
การให้ปุ๋ย
ควรให้ทั้งปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง ปริมาณจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของดิน สำหรับปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสมสำหรับกล้วยหอมทองคือ 21-0-0 จำนวน ใช้ในอัตรา 50 กก.ต่อไร่ หรือจะใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ในอัตรา 50 กก.ต่อไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง
การให้น้ำกล้วยหอม
ในพื้นที่ปลูกขนาดใหญ่ จะใช้วิธีการสูบน้ำจากบ่อบาดาลหรือบ่อกักเก็บน้ำที่อยู่ใกล้ๆ สวน สูบน้ำขึ้นมารดต้นกล้วย สำหรับเครื่องสูบน้ำที่ใช้ควรจะมีขนาด 5-8 แรงม้า แล้วใช้สายยางขนาด 2 นิ้ว ต่อรดน้ำแปลงกล้วย การให้น้ำกล้วยทุกชนิดจะให้แค่พอชุ่ม ในช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ และขณะที่กล้วยหอมตั้งตัวและกำลังติดปลี ติดผลดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้น้ำเป็นประจำทุกวันเหมือนพืชอื่น
การกำจัดวัชพืชในแปลงกล้วย
ถ้ามีการดายหญ้าและพรวนดินในแปลงกล้วยตลอดเวลา จะทำให้ได้กล้วยเครือใหญ่ และจำนวนหวีมากขึ้น สำหรับวิธีการกำจัดวัชพืชในแปลงกล้วยมี 3 วิธี ด้วยกันคือ
1. การใช้แรงงานคน 1ปกติถ้าปลูกกล้วยเป็นจำนวนไม่มาก การใช้แรงงานคนเข้าดายหญ้าในแปลงปลูกเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. ใช้รถไถเล็กหรือรถไถเดินตามเกษตรกรบางรายที่มีพ้นที่ปลูกมากการใช้รถไถนาเดินตาม ไถดะระหว่างร่องกล้วย ไปกลับร่องละ 2 ครั้ง ระวัง อย่าไถชิดโคนต้นกล้วยมากเกินไป แล้วดายพรวนรอบโคนต้นกล้วยอัดดินบริเวณโคนต้นกล้วยให้แน่น จะทำให้โคนต้นกล้วยไม่หักล้มได้ง่าย
3. การใช้สารเคมี สารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้ควรเป็นสารเคมีประเภทสัมผัส ผสมน้ำตามอัตราที่กำหนด ฉีดพ่นอย่าให้ถูกใบกล้วย สารเคมีจำพวกนี้จะไม่มีผลกระทบต่อสภาพของดินและต้นกล้วย แต่จะมีผลทำให้ผลผลิตที่ได้สู้การกำจัดวัชพืชโดยการดายหญ้าไม่ได้
ราคากล้วยหอม โดยประมาณ กิโลกรัมละ 10-12 บาท หรือเครือละ 100-120 บาท

การปลูกกล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้า
กล้วยน้ำว้า เป็นกล้วยพันธุ์หนึ่ง พัฒนามาจากลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี บริโภคกันอย่างแพร่หลาย ปลูกง่าย รสชาติดี อร่อยด้วย กล้วยน้ำว้ามีชื่อพื้นเมืองอื่นเช่น กล้วยน้ำว้าเหลือง กล้วยใต้ หรือ กล้วยอ่อง กล้วยน้ำว้าเมื่อเทียบกับกล้วยหอมและกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้าจะให้พลังงานมากที่สุด กล้วยน้ำว้าห่ามและสุกมีธาตุเหล็กในปริมาณสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีช่วยบำรุงกระดูก ฟัน และเหงือกให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวพรรณดี มีเบต้าแคโรทีน ไนอาซีนและใยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น กินกล้วยน้ำว้าสุก จะช่วยระบายท้องและสามารถรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันในเด็กเล็กได้ ช่วยลดอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอกที่มีอาการไอแห้งร่วมด้วย
ลักษณะทั่วไปของกล้วยน้ำหว้า
- ต้น ลำต้นสูงไม่เกิน 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีสีเขียวอ่อน มีประดำบ้างเล็กน้อย
- ใบ ก้านใบมีร่องค่อนข้างแคบ เส้นกลางใบสีเขียว
- ดอก ก้านช่อดอกไม่มีขน ปลีรูปไข่ค่อนข้างป่อม ปลายป้าน ด้านนอกสีแดงอมม่วงมีนวลหนา ด้านในมีสีแดงเข้ม
- ผล เครือหนึ่งมีประมาณ 7 - 10 หวี หวีหนึ่ง มี 10 - 16 ผล ก้านผลยาว เปลือกหนา สุกมีสีเหลืองเนื้อสีขาว รสหวาน ไส้กลางมีสีเหลือง ชมพูหรือขาว ทำให้แบ่งออกเป็นกล้วยน้ำว้าเหลือง กล้วยน้ำว้าแดง และกล้วยน้ำว้าขาว

วิธีการปลูก
1. ขุดหลุม กว้างยาวลึก อย่างละ 50 ซม. ระยะการปลูกต่อต้นอยู่ที่ 2.5 x 2.5 เมตร
2. ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือผสมกับปุ๋ยหมักชีวภาพ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
3. วางหน่อกล้วยลงในหลุม ถ้ามีการปลูกกล้วยเป็นแถว ควรหันแผลที่ตัดหน่อกล้วยไปทางเดียวกัน เพื่อให้กล้วยแทงปลีไปทางเดียวกัน
4. ตั้งหน่อกล้วยให้ตรง แล้วกลบดินผสมปุ๋ยลงหลุมกดให้แน่น
5. ควรหาวัสดุคลุมดินที่โคนหน่อกล้วย เพื่อลดการละเหยของน้ำ
6. รดน้ำให้ชุ่ม
การดูแลรักษา
การใส่ปุ๋ย
ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 15- 15-15 อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น/ปี โดยแบ่งใส่ 4 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ใส่หลังปลูก 1 สัปดาห์
ครั้งที่ 2 ใส่หลังจากครั้งที่ 1 ประมาณ 3 เดือน
ครั้งที่ 3 ใส่หลังจากครั้งที่ 2 ประมาณ 3 เดือน
ครั้งที่ 4 ใส่หลังจากครั้งที่ 3 ประมาณ 3 เดือน
การให้น้ำ
ปริมาณของน้ำนั้นขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ความชุ่มชื้นของดิน ปริมาณลมที่พัดผ่าน จะทำให้การคายน้ำมาก จึงไม่ควรปล่อยให้ผิวหน้าดินแห้งติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากรากจะหาอาหารอยู่บริเวณผิวดิน จะทำให้หยุดชะงักการเจริญเติบโต
การปฏิบัติอื่นๆ
- การตัดแต่งหน่อ หลังจากปลูกประมาณ 3 - 4 เดือน จะมีหน่อขึ้นมารอบๆ โคน ให้ตัดไปเรื่อยจนกว่าจะเริ่มออกปลี จากนั้นก็ให้ไว้สัก 1 - 2 หน่อ โดยหน่อที่ 1 และ ที่ 2 ควรมีอายุห่างกันประมาณ 4 เดือน เพื่อให้ผลกล้วยมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเลือกหน่อที่อยู่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม
- การตัดแต่งใบ ควรทำการตัดแต่งช่วงที่ต้นเริ่มโตจนถึงเก็บเกี่ยว โดยเลือกใบแก่และใบที่เป็นโรคออก ตัดให้เหลือประมาณ 7 - 12 ใบ เพื่อป้องกันต้นกล้วยโค่นช่วงออกปลี เพื่อใช้ใบปรุงอาหาร และเพิ่มความเจริญเติบโตของผลกล้วย
การป้องกันกำจัดศัตรูพืช
- โรคใบจุด ป้องกันโดยนำไปเผา หรือใช้สารเคมีคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ หรือสารป้องกันกำจัดเชื้อรา แมนโคเซบ หรือเบนโนมิล
- ด้วงงวง ป้องกันโดยใช้สารเคมีประเภทดูดซึม เช่นโตฟอส
- หนอนม้วนใบกล้วย ป้องกันโดยใช้สารเคมีคลอไพลิฟอส
- แมลงวันผลไม้ใช้สารล่อแมลงสารเมธิลยูลินอลผสมสารฆ่าแมลงล่อทำลายแมลงวันเพศผู้หรือใช้สารฆ่าแมลงมาลาไธออน หรือ ไดเมทโทเอท
*** ราคากล้วยน้ำว้าเบอร์ใหญ่ หวีละ 18-20 บาทเบอร์กลาง หวีละ 13-15 บาทเบอร์เล็ก หวีละ 6-7 บาท

การเพาะเห็ดหลินจือ

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ เป็นสมุนไพรที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ใช้รับประทานบำรุงสุขภาพ มา ช้านาน เห็ดชนิดนี้ ราคาค่อนข้างแพงและมีรสชาติขม การเพาะทำได้ไม่ยากโดยใช้ขี้เลื่อยผสม วัสดุต่าง ๆ ดังวิธีการและขั้นตอนดังต่อไปนี้
การเพาะเห็ดหลินจือ
การเพาะเลี้ยงเชื้อเห็ดบริสุทธิ์
การเลี้ยงเชื้อเห็ดหลินจือ เลี้ยงได้บนอาหารชนิดเดียวกับเห็ดนางฟ้า นางรม อาหารที่ใช้เลี้ยงจะต้องเป็นอาหารที่เหมาะสมและปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ทุกชนิด ในการเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์จะต้องมีขั้นตอนที่สำคัญ 2 ประการ คือสูตรอาหารที่เหมาะสมและวิธีการเตรียมที่ถูกต้อง
สูตรอาหาร P.D.A
สูตร 1.
มันฝรั่ง 200 กรัม
รำละเอียด 50 กรัม
น้ำตาลคลูโคส 20 กรัม
วุ้น 20 กรัม
วิตามิน 10 มิลลิกรัม
รแตสเซียมไฮโดรเจนฟอสแฟต (KH PO ) 1 กรัม
แมกนีเซียมซัลเฟต (ดีเกลือ) MgS04 0.5 กรัม
น้ำสะอาด 1 ลิตร
สูตร 2.
มันฝรั่ง 200 กรัม
น้ำตาลกลูโคส 20 กรัม
วุ้น 20 กรัม
น้ำสะอาด 1 ลิตร
การเตรียมอาหาร
ล้างมันฝรั่งให้สะอาด ปอกเปลือกหั่นเป็นแผ่นบาง ๆ นำไปต้มกับรำละเอียดนาน 20 นาที จากนั้นนำมากรองแล้วตวงให้ครบตามที่ต้องการ นำไปต้มอีกครั้งหนึ่งใส่วุ้นน้ำตาลกลูโคส ส่วนวิตามินบี 1 โปรแตสเซียมไฮโครเจนฟอสเฟตและแมกนีเซียมซัลเฟต ผสมน้ำจนละลายดี เทใส่ในน้ำต้มมันฝรั่ง หลังจากนั้นนำส่วนผสมนี้เทลงในหลอดทดลองหรือขวดแบน ประมาณ 1 ใน 5 ของหลอด หรือประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร สูงจากก้นขวด ปิดจุกด้วยสำลีแล้วนำไปนึ่งในหม้อนึ่งความดัน (Autoclave) ใช้ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้วนาน 30 นาที แล้วจึงนำหลอดมาเอียงประมาณ 10 – 15 องศา ทิ้งไว้ให้เย็นจึงเขี่ยเนื้อเยื่อจากดอกเห็ดลงบนอาหารเย็น แล้วนำไปเลี้ยงที่อุณหภูมิ 25 – 28 องศา ประมาณ 7 – 10 วัน เส้นใยเห็ดก็จะเจริญเติบโตเต็มอาหารวุ้น
การถ่ายเชื้อเพื่อการเลี้ยงเชื้อควรจะทำเป็นระยะ ๆ ไม่เก็บไว้ใช้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บเชื้อที่เลี้ยงแล้ว ไว้จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิประมาณ 4 องศา นาน 1 – 2 เดือน
การทำหัวเชื้อเห็ดหลินจือ
เมล็ดธัญพืชที่นิยมใช้ทำหัวเชื้อ คือ เมล็ดข้าวฟ่าง เพราะมีลักษณะกลม สะดวกแก่การนำไปใช้มีราคาถูก หาง่าย การเตรียมหัวเชื้อจากเมล็ดข้าวฟ่าง นำเมล็ดข้าวฟ่างมาแช่น้ำนาน 12 ชั่วโมง จากนั้นนำไปต้มนาน 20 – 3 0 นาที แล้วนำไปผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่ผงยิบซั่ม 1 % แคลเซียมคาร์บอเนต 2 % ต่อข้าวฟ่าง 1 กิโลกรัม แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมากรองใส่ขวดแบน 2 ใน 3 ส่วนของขวด ปิดปากขวดด้วยสำลีหุ้มด้วยกระดาษ แล้วนำไปนึ่งด้วยหม้อนึ่งความดันที่ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 30 นาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น เพื่อรอการเขี่ยเชื้อ
การเขี่ยเชื้อ
อาหารวุ้น 1 หลอดสามารถเพาะเลี้ยงเชื้อเห็ดได้ 10 – 12 ขวด เชื้อเห็ดจะใช้เวลาในการเจริญเติบโตเต็มอาหารเลี้ยงเชื้อประมาณ 10 – 15 วัน
การเพาะเห็ดหลินจือในถุงขี้เลื่อย
การเตรียมวัสดุเพาะและสูตรอาหาร
- อาหารเพาะ
- หัวเชื้อเห็ดหลินจือ
- ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 6 ½ , 12 ½ หรือ 7x 13 นิ้ว
- คอพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว
- สำลียางรัด
- ถังนึ่งไม่อัดความดันหรือหม้อนึ่งความดัน
- โรงเรือนหรือสถานที่บ่มเส้นใยและเปิดดอก
การเตรียมอาหาร
ชั่งส่วนต่าง ๆ ตามส่วนแล้วผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ส่วนน้ำตาลทรายกับดีเกลือละลายน้ำรดให้ทั่ว จากนั้นเติมน้ำผสมให้เข้ากันจะสังเกตได้จากเมื่อบีบแล้วน้ำจะไม่ไหลผ่านร่องนิ้วมือ บรรจุกอ้นในถุงพลาสติกอัดให้แน่น สวมคอขวดดึงให้ตึง รัดยางให้แน่น อุดด้วยสำลีแล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยถังนึ่งไม่อัดความดัน อุณหภูมิ 90 – 100 องศาเซลเซียส สม่ำเสมอนาน 3 ชั่วโมง จากนั้นทิ้งให้เย็น
การเขี่ยเชื้อเห็ด
การเขี่ยเชื้อเห็ดในห้องที่สะอาดและไม่มีลมโกรก หัวเชื้อ 1 ขวดสามารถเขื่ยใส่ในก้อนได้ประมาณ 40 – 50 ก้อน หลังการเขี่ยเชื้อลงในถุงอาหารแล้วนำไปเก็บยังโรงบ่มเส้นใยหรือในห้องที่มีอุณหภูมิที่คงที่ 25 – 28 องศา ตามปกติเส้นใยจะใช้เวลา 1.5 – 2 เดือน จึงจะเจริญเต็มวัสดุเพาะ
การเปิดดอกและการดูแลรักษา
เมื่อเส้นใยเดินเต็มถุงจากนั้นก็ขนย้ายก้อนเชื้อไปยังโรงเปิดดอก โดยวางช้อนกันแล้วเปิดฝาครอบปากถุงออก รดน้ำที่พื้นโรงเรือน ความชื้นในโรงเรือนประมาณ 85 – 95 % หลังจากเส้นใยเดินเต็มถุงภายใน 10 – 15 วัน จะเห็นดอกเห็ดผุดขึ้นมา ส่วนปลายจะเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน นับตั้งแต่ดอกเห็ดปรากฏออกมาให้เห็น จนกระทั่งดอกเห็ดเจริญเติบโตพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้นั้นจะใช้เวลาประมาณ 1 – 1.5 เดือน แล้วแต่ความสมบูรณ์ของอาหารและสภาพแวดล้อม โดยปกติแลวผลผลิตของดอกเห็ดครั้งแรก มักจะเกิดเป็นดอกเดี่ยวจะมีน้ำหนักประมาณ 30 – 70 กรัม ดอกเห็ดรุ่น 2 จะมีน้ำหนักประมาณ 20 – 40 กรัม ปกติแล้วจะทำการเก็บเกี่ยวไม่เกิน 2 ครั้ง
โดยทั่วไปเห็ดหลินจือจะจำหน่ายในรูปของเห็ดแห้ง โดยตัดส่วนด้านที่มีเศษวัสดุเพาะออกทิ้งแล้วทำความสะอาดดอกเห็ด นำดอกเห็ดมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปตากแดด 1 – 3 วัน หรืออบในตู้อับที่อุณภูมิ 55 – 60 องศา นานประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง ดอกเห็ดก็จะแห้งสนิท ดอกเห็ดที่ทำการอบแห้งได้ที่แล้ว ถ้าต้องการที่จะเก็บไว้นาน ๆ จะต้องการไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด อากาศและความชื้นเข้าไม่ได้
ราคาโดยประมาณ กิโลกรัมละ 2,000 – 2, 500 บาท

การเพาะเห็ดหอม

เห็ดหอม

เห็ดหอม คล้ายๆกับเห็ดที่ขึ้นบนไม้อย่างอื่น เช่น เห็ดนางรม แต่เห็ดหอมมีความสามารถที่จะย่อยเซลลูโลส และลิกนิน ได้ดีกว่า จึงเจริญเติบโตได้ดีในไม้เนื้อแข็ง เป็นเห็ดที่นิยมบริโภคกันมานานนับศตวรรษในหมู่ชาวจีนและญี่ปุ่น ทั้งนี้นอกจากมีรสชาติดีและกลิ่นหอมแล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย ถือเป็น ยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง เห็ดหอมมีประสิทธิภาพในการต่อต้านมะเร็ง ลดไขมันในเส้นเลือดและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไข้หวัด จึงทำให้ผู้บริโภคหันมารับประทานเห็ดหอมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

การเพาะเห็ดหอม
วัสดุอุปกรณ์
1. วัสดุเพาะ ที่ได้ผลดี คือ ขี้เลื่อยไม้มะขาม รองมาคือ ขี้เลื่อยไม้ยางพารา ขี้เลื่อยไม้กระถินณรงค์หรือขี้เลื่อยไม้เบญจพรรณหมัก และวัสดุเสริม ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้ ขี้เลื่อย 100 กก. รำข้าว 5 กก. น้ำตาลทราย 2 กก. ดีเกลือ 0.2 กก. ยิบซั่ม 0.5 กก. ผสมน้ำให้มีความชื้น 55-65%
2. ถุงพลาสติกทนร้อน และอุปกรณ์การเพาะเห็ดในถุงพลาสติก
3. หม้อนึ่งความดัน หรือถังนึ่งไม่อัดความดันพร้อมอุปกรณ์การให้ความร้อนในการนึ่งฆ่าเชื้อ
4. โรงเรือน หรือสถานที่บ่มเส้นใยและให้ผลผลิต
วิธีการเพาะ
1. ผสมวัสดุเพาะและวัสดุเสริมทั้งหมดให้เข้ากัน อย่าให้แห้งหรือแฉะ ให้วัสดุพอจับตัวกันได้ เมื่อบีบดูต้องไม่มีหยดน้ำ เมื่อคลายมือออก ส่วนผสมต้องไม่แตกร่อนออกอย่างรวดเร็ว
2. บรรจุส่วนผสมลงในถุงพลาสติกทนร้อน อัดแน่นพอประมาณ ถุงละ 1/2 -1 กก. ใส่คอขวดปิดจุกสำลี และปิดทับด้วยกระดาษหรือฝาครอบกันไอน้ำ
3. แล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งความดันเป็นเวลา 40 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ด้วยความดัน 15-20 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (หรือใช้ถังนึ่งไม่อัดความดันก็ได้ผลดีพอควร โดยเริ่มจับเวลาตั้งแต่ไอน้ำเดือดพุ่งตรงสม่ำเสมอ เป็นเวลา 2-4 ชั่วโมง ต้องรักษาระดับไอน้ำไว้ตลอดเวลาด้วยการปรับความร้อนให้มีอุณหภูมิภายในถังนึ่ง 85-100องศาเซลเซียสตลอดเวลา)แล้วทิ้งให้เย็น
4. แกะกระดาษหรือฝาครอบออก เปิดจุกสำลีแล้วใส่เชื้อเห็ด (นิยมใช้หัวเชื้อเห็ดจากเมล็ดข้าวฟ่าง) ควรทำในบริเวณที่สะอาด ป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค แล้วนำไปบ่มเส้นใย
5. การบ่มเส้นใยระยะเวลาที่บ่มเส้นใย 3-4 เดือน ขึ้นกับน้ำหนักอาหารที่ใช้ หรือมีการสร้างตุ่มดอกประมาณ 2/3 ของก้อนเชื้อ
ปัจจัยที่สำคัญและการดูแลรักษา
1. อุณหภูมิ การบ่มเส้นใยเห็ดหอมที่ดีที่สุดคือที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส การทำห้องหรือโรงเรือนที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาไม้สำหรับบ่มเส้นใยอย่างง่าย เช่น ทำจากหญ้าคา, จากฟาง, ไม้ไผ่ ฯลฯ ก็ได้ และมีการให้น้ำภายนอกโรงเรือน หรือบริเวณพื้นโรงเรือนเป็นครั้งคราวเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส
2. ความชื้น มีความจำเป็นสำหรับระยะเวลาที่ให้ผลผลิต ความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมกับการเจริญของเชื้อเห็ดหอมอยู่ระหว่าง50-85% ในระยะบ่มเส้นใยไม่ต้องการความชื้นในบรรยากาศเหมือนเห็ดทั่วไป ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำถูกสำลี ซึ่งอาจจะเป็นทางให้เชื้อโรคเข้าทำลายได้
3. อากาศ การถ่ายเทอากาศที่ดีจำเป็นต่อการเจริญของดอกเห็ด และทำให้มีการสะสมเชื้อโรคน้อยลง ถ้ามีการสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากจะทำให้เห็ดมีก้านยาว บางครั้งหมวกเห็ดอาจจะไม่เจริญหรือมีลักษณะผิดปกติอื่น ๆ
4. แสง ช่วยกระตุ้นให้เส้นใยเกิดตุ่มเห็ด สร้างแผ่นสีน้ำตาล และเจริญเป็นดอกเห็ดได้เร็วกว่าที่มืดและยังช่วยให้หมวกเห็ดมีสีเข้มไม่จางซีด
5. การแช่น้ำเย็น หลังจากบ่มเส้นใยสมบูรณ์แล้ว ให้แช่ก้อนเชื้อในน้ำเย็น 2 ชั่วโมง หรือค้างคืนก็ได้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดดอก
โรคและศัตรูเห็ดหอม
1. เชื้อรา เป็นศัตรูที่สำคัญของเห็ดหอม ได้แก่ ราดำ ราเขียว ราเมือก ซึ่งจัดว่าเป็นศัตรูที่คอยทำลายเห็ดหอมในก้อนเชื้อและท่อนไม้ เชื้อราพวกนี้จะเจริญเติบโตในที่อับชื้นมากเกินไป อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ดังนั้นจึงควรระวังรักษาโรงเรือนให้สะอาด อย่าให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และศัตรูของเห็ดหอม
2. วัชเห็ด ซึ่งชอบเจริญบนท่อนไม้ระหว่างพักเชื้อ ซึ่งเป็นพวกที่ชอบความชื้นมาก และจะเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส ดังนั้นโรงเรือนที่ใช้ในการพักเชื้อไม่ควรให้มีความชื้นมากเกินไป และควรให้อากาศระบายถ่ายเทได้สะดวก ส่วนท่อนไม้ที่นำมาเพาะเชื้อต้องระวังอย่าให้เปลือกแตก เพราะอาจทำให้เชื้อวัชเห็ดจากภายนอกเข้าไปเจริญในท่อนไม้ได้
3. เชื้อที่มีลักษณะคล้ายไวรัส อาจแพร่ระบาดทำลายเส้นใยเห็ดหอมได้ ดังนั้นการเลี้ยงเชื้อเห็ดหอมบนอาหารวุ้น ควรตรวจเส้นใยเห็ดหอมตลอดเวลาว่ามีเชื้อไวรัสปลอมปนหรือไม่ ถ้ามีให้คัดทิ้งเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ
ฤดูกาลเพาะที่เหมาะสม ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับสภาพของประเทศไทย จะมีอยู่ประมาณ 4 เดือน คือ เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธุ์ ควรเริ่มทำการเพาะตั้งแต่ เดือนมิถุนายนถึง เดือนกรกฎาคม เพื่อที่จะได้ทำการบ่มเชื้อเห็ดหอมในวัสดุเพาะ มีการเจริญเติบโตเต็มที่และมีการสะสมของอาหารที่มากพอ
การให้ผลผลิต โดยเปิดปากถุงให้ออกดอกทางด้านบนหรือเปลือยก้อนเชื้อโดย แกะถุงพลาสติกออกทั้งหมดให้ก้อนเชื้อสัมผัสอากาศ เป็นการกระตุ้นให้เกิดดอกเห็ด ถ้าต้องการเห็ดดอกใหญ่ก็เปิดให้มีการเกิดดอกเป็นบางส่วน การเปลือยก้อนเชื้อจะได้ดอกเห็ดจำนวนมาก แต่ดอกจะเล็ก และอาจจะมีการปนเปื้อนจากเชื้อโรคหรือถูกกระทบจากสภาพแวดล้อมได้ง่าย ผลผลิตดอกเห็ดสดจะได้ 50-400 กรัมต่อก้อนเชื้อ 1/2 - 1 กก. ขึ้นกับความใส่ใจและเทคนิควิธีการของผู้เพาะเห็ด
การทำแห้งเห็ดหอมทำได้ 2 วิธี
1. การตากแห้งโดยตากแดด จนกว่าดอกเห็ดจะแห้งสนิท ควรหลีกเลี่ยงตากแดดจัดมากเกินไป เพราะจะทำให้ดอกเห็ดไหม้เกรียมและควรคว่ำดอกเห็ดให้ครีบอยู่ด้านใต้ เพื่อป้องกันครีบสีคล้ำ การตากแดดเป็นวิธีลดความชื้นในดอกเห็ดในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ดอกเห็ดยุบตัวมากเมื่อดอกเห็ดแห้งสนิทดีแล้ว เก็บในภาชนะที่กันความชื้น มิฉะนั้นอาจจะมีเชื้อราเกิดขึ้นได้
2. การอบแห้งใช้ลมร้อน ค่อย ๆ ลดความชื้นภายในดอกเห็ด ซึ่งจะได้เห็ดที่มีคุณภาพที่ดีกว่าเห็ดที่ตากแดด การอบใช้ อุณหภูมิ เริ่มแรกประมาณ 30 องศาเซลเซียส จากนั้นเพิ่มอุณหภูมิขึ้นทีละ 1-2 องศา ทุก 1 ชั่วโมง จนถึง 50 องศาแล้วเพิ่มให้เป็น 60 องศาและรักษาอุณหภูมิระดับนี้ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มรสชาติ กลิ่น และทำให้ดอกเห็ดหอมมีลักษณะเป็นเงาสวยงาม
ราคาเห็ดหอมโดยทั่วๆไปจะอยู่ที่ กิโลกรัมละ 150 - 200 บาท

การเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่น

เห็ดโคนญี่ปุ่น
เห็ดโคนญี่ปุ่น หรือ เห็ดยานางิ มีชื่อสากลว่า Agrocybe cylindracea Maire ดอกมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่เห็ดออกดอก ถ้าอุณหภูมิยิ่งเย็นสีจะยิ่งเข้ม ก้านดอกสีขาว เนื้อแน่นและมีเนื้อเยื่อยาว ทำให้ไม่เปราะหรือหักง่าย รสชาติคล้ายกับเห็ดโคนไทย เป็นเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่มีตลาดผู้บริโภคอยู่ในเกณฑ์ดี กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง
วิธีการเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่น
วัสดุเพาะ : วัสดุเพาะที่นิยมมากที่สุด คือขี้เลื่อยจากไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยางพารา ไม้งิ้ว ไม้นุ่น ไม้ก้ามปู ไม้กระถินณรงค์ กากเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้มะขาม ไม้ทุเรียน ไม้ขนุน ต้องทำการหมักสลายยางไม้เสียก่อน วัสดุเพาะที่นิยมกรณีที่ไม่มีขี้เลื่อย คือ ฟางข้าว ต้นข้าวโพด ต้นข้าวฟ่าง วัสดุเพาะดังกล่าวนี้หากนำไปเพาะเห็ด จะทำให้ผลผลิตค่อนข้างสูงคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นไม้ รสชาติดีกว่า แต่ต้องทำการหมักจนกว่าวัสดุเพะจะนิ่มและหอม จึงจะสามารถนำไปเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่นได้
สูตรส่วนผสมการเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่น
1. ขี้เลื่อย 100 กิโลกรัม
2. รำอ่อน 100 กิโลกรัม
3. ปูนขาว 2 กิโลกรัม
4. ดีเกลือ 3 ขีด
5. พูไมท์ 2 กิโลกรัม
6. แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
7. น้ำ 60-70%
วิธีคลุกส่วนผสมและการนึ่งฆ่าเชื้อ
นำวัสดุส่วนผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ในขั้นสุดท้ายนำน้ำมาผสมลงไปให้พอเหมาะ อย่าให้แฉะเกินไป บรรจุลงถุงอัดให้แน่น ใส่คอขวดพลาสติค รัดด้วยยางรัด แล้วนำไปนึ่ง ในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง การจับเวลาในการนึ่งควรจับหลังจากที่มีไอน้ำพุ่งขึ้นมาเป็นเส้นตรง หลังจากนึ่งเสร็จแล้วปล่อยให้เย็น แล้วนำออกจากหม้อนึ่ง นำเข้าห้องเขี่ยเชื้อ
วิธีการเขี่ยเชื้อเห็ดโคนญี่ปุ่นลงถุงพลาสติค
วัสดุในการเขี่ยเชื้อ
1. ขวดหัวเชื้อเห็ด
2. ตะเกียงแอลกอฮอล์
3. สำลี
4. ไม้ขีดไฟ
5. กระดาษหนังสือพิมพ์ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาด 2.5×4 นิ้ว
6. ยางรัด
ขั้นตอนการเขี่ยเชื้อเห็ดโคนญี่ปุ่น
1. จุดตะเกียงแอลกอฮอล์
2. นำขวดเชื้อมาลนไฟที่ตะเกียง
3. เช็ดมือให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ 70%
4. นำขวดเชื้อที่ลนไฟแล้วมาแคะหรือย่อยให้หัวเชื้อละเอียด
5. หลังจากเขี่ยเชื้อลงถุงเรียบร้อยแล้ว ปิดกระดาษ แล้วรัดด้วยยางรัดทันที
6. นำก้อนที่เขี่ยแล้ว ขึ้นตั้งเรียงไว้เพื่อบ่มเชื้อในโรงเรือนบ่ม ใช้ระยะเวลาในการบ่ม ประมาณ 45-50 วัน สามารถ นำไปเปิดเอาดอกในโรงเรือนได้
7. เชื้อ 1 ขวด ควรเขี่ยลงถุงได้ 32-35 ถุง
ลักษณะโรงเรือนเห็ดโคนญี่ปุ่นลักษณะ
โรงเรือนเหมือนกับการเพาะเห็ดนางฟ้านางรมทั่วๆ ไปคือขนาด 4.5×10 เมตร ด้านข้างสูง ประมาณ 1.4 เมตร บรรจุก้อนเชื้อได้ 6,000 ก้อน หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบจาก ด้านข้างกั้นด้วยซาแรน 60% โครงสร้างภายในทำเป็นแผง เอียงทำมุม  75 องศา การสร้างโรงเรือนควรสร้างในแนวทิศตะวันออก-ตก เพื่อการถ่ายเทอากาศได้ดี เห็ดโคนญี่ปุ่นชอบอุณหภูมิในโรงเรือนอยู่ที่ 26-28 องศาเซลเซียส โดยจะต้องควบคุมบรรยากาศให้มีความชื้นสัมพัทธ์อยู่ระหว่าง  80-90 % ความเป็นกรด-ด่าง (PH)    ระดับความเป็นกรดเป็นด่าง ที่เห็ดโคนญี่ปุ่นต้องการอยู่ในระดับค่าเป็นกลาง 6.5-7.5
การดูแลรักษา
หลัง จากบ่มเชื้อครบ 45-50 วัน แล้วนำก้อนเชื้อเข้าสู่โรงเปิดดอก โดยแกะกระดาษ เขี่ยข้าวฟ่างและสำลีออกให้หมด ทำความสะอาดพื้นโรงเรือนการให้น้ำเห็ดโคนญี่ปุ่นในขั้นตอนแรกสำคัญมาก พอเอาก้อนเชื้อเห็ดที่เชื้อเดินเต็มก้อนเข้าโรงเรือนก็เปิดก้อนเชื้อได้เลย จากนั้นเริ่มให้สเปรย์หมอก เปิดสเปรย์หมอกทุก 4 ชั่วโมง ต่อ 1 ครั้ง ครั้งละ 4 นาที ให้สเปรย์หมอกเช่นนี้ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 5 วันเห็ดจะออกดอกได้ดี

วิธีการเก็บดอกเห็ดโคนญี่ปุ่นใช้ มือกดปากถุงเห็ดไว้ อีกมือหนึ่งค่อยๆ ดึงดอกเห็ดออกจากถุงอย่าให้หน้าก้อนเห็ดแตก และอย่าพยายามให้มีเศษขาของดอกเห็ดปิดรูถุง เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา ปิดปากถุงเห็ดกันเห็ดรุ่นต่อไปไม่ให้ออกดอกมาได้
ราคาขายเห็ดโคนญี่ปุ่นตามทั่วๆไปจะอยู่ที่ประมาณ กิโลกรัมละ 150 - 200 บาท

การเพาะเห็ดขอนขาว

เห็ดขอนขาว

เห็ดขอนขาว มีชื่อเรียกอื่น เช่น เห็นขอน เพราะพบขึ้นตามขอนไม้ที่หักโค่น หรือถูกตัดฟันต่อมาพบว่ามีเห็ดขอนขึ้นตามธรรมชาติบนขอนไม้เช่นกัน แต่สีดอกเห็ดค่อนข้างดำ จึงเรียกแยกกันให้ชัดเจนว่า เห็ดขอนขาว และ เห็ดขอนดำ ในภาคกลางพบขึ้นเองกับตอมะม่วงในฤดูฝน จึงเรียก เห็ดมะม่วง แต่เมื่อเข้าตลาดพ่อค้าเรียก เห็ดขอน เหมือนกันหมด แม้จะเป็นเห็ดในสกุลของ เห็ดหอม ตามการจำแนกของนักพฤกษศาสตร์ แต่ลักษณะรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเห็ดนางรม เพียงแต่ดอกบางกว่า เหนียวกว่า และมีกลิ่นเห็ด (หรือ มัชรูมอโรน่า) หอมกว่า เป็นที่นิยมรับประทานของคนอีสานและคนเหนือ
วิธีทำก้อนเชื้อเห็ด
วัสดุ อุปกรณ์
1.ขี้เลื่อย 100 กิโลกรัม
2.ปูนขาว 2 กิโลกรัม
3.ดีเกลือ 2 ขีด
4.รำละเอียด 7 กิโลกรัม
5.น้ำ
6.ถุงขนาด 6 ½ x12” หรือ ถุงร้อน 7x11”

การทำก้อนเชื้อเห็ด
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคุกเคล้าให้เข้ากัน โดย ให้ส่วนผสมได้ความชื้นที่พอดี จากนั้น นำส่วนผสมที่ได้กรอกใส่ถุงให้เต็มถุงแล้ว ทุบให้แน่น แล้วปิดฝา นำถุงที่กรอกส่วนผสมไปนึ่งในเตาความร้อน 100 องศาเซลเซียส ใช้เวลานึ่งประมาณ 3-4 ชั่วโมง แล้วนำออกจากเตา มาพักให้เย็น 12 ชั่วโมง ในห้องที่ไม่มีลมโกรก หลังจากนั้น ต่อเชื้อเห็ดลงใน ก้อนถุงอาหาร แล้วนำก้อนเชื้อไปบ่มในโรงเรือน 45 วัน พอเชื้อเห็ดเดินเต็มทั้งก้อนก็สามารถนำไปเปิดดอกได้
การดูแลก้อนเชื้อเห็ดในโรงบ่มเชื้อ
1.ปัญหาจะมีพวกแมลงหวี่ แมลงวัน แก้ไขด้วยวิธีการน้ำมันเครื่อง ป้ายที่ฝาปิดก้อนเชื้อ และ ล้าง ออกโดยใช้น้ำฉีดก่อนที่จะนำไป เปิดดอก
2. ถ้านึ่งก้อนเชื้อเห็ดไม่สุก จะทำให้เกิดราขาว ราเขียวได้ หรือการที่เกิดราในก้อนเชื้อเห็ดอาจเป็นเพราะ ถุงมีรอยขาดจากการที่ขี้เลื่อยทิ่มถุงแตก ฉะนั้นต้องจัดการให้ดีก่อนนำมาอัดก้อน ด้วยการร่อนเอาเศษไม้ที่หยาบๆ ออกส่วนก้อนที่เศษไม้ทิ่มให้เอาเทปกาวแปะปิดรูให้เรียบร้อย

การเพาะเห็ดขอนขาวในขอนไม้

การใช้ขอนไม้ เช่น ไม้มะม่วง ในการเพาะเห็ดขอนขาว การเพาะเห็ดด้วยวิธีนี้ เราต้องใช้ท่อนไม้มะม่วง แล้วเจาะรู เพื่อนำเชื้อเห็ดอัดลงไปในรูที่เราเจาะ
วิธีการและขั้นตอนการเพาะ
- เตรียมท่อนไม้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์ 4 – 6 นิ้ว ความยาว 1 เมตร
- ใช้สว่านไฟฟ้าขนาด 5 - 6 หุน เจาะขอนไม้ที่เตรียมไว้เป็นรู ให้มีความลึก ประมาณ 5 เซนติเมตร โดยทำเป็นแถวๆ ตามความยาวของไม้ และ ให้แต่ละแถวให้ห่างกันประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร
- นำเชื้อเห็ดที่ซื้อมา ส่วนใหญ่เขาใช้ทำมาจากเมล็ดธัญพืชคือเมล็ดข้าวฟ่าง ใส่เชื้อเห็ดลงไปในรูไม้ที่เจาะแล้วประมาณ 10 เมล็ด แล้วนำขี้เลื่อยของไม้ที่เจาะแล้วใส่ลงไปใส่จนแน่น
- หลังจากนั้นใช้ปูนซีเมนต์ผสมทรายอัตราส่วน 1 : 1 คลุกน้ำหมาด ๆ ปิดรูที่ใส่เชื้อเห็ดแล้ว หรือปูนยาแนวกระเบื้อก็ได้
-จากนั้นนำขอนเห็ดไปเก็บพักไว้ในที่ร่ม หรือ ใต้ต้นไม้เพื่อเป็นการบ่มเชื้อเห็ด และ ควรรดน้ำให้ ขอนเห็ดประมาณ 5 – 10 วัน รดสักครั้ง หรือถ้าเห็นว่าขอนแห้งเกินไป ก็สามารถรดน้ำได้เลย

การบ่มเชื้อ

- การวางขอนเห็ด โดยวางขอนไม้ให้เป็นซ้อนกันเป็นสี่ด้าน ไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะจะทำให้ขอนไม้แห้งเร็วเกินไป เชื้อเห็ดจะเจริญขยายเส้นใยไม่ได้เต็มที่ การบ่มพักเชื้อจะใช้เวลานาน 2 - 3 เดือน หรืออาจนานกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของขอนไม้ ถ้าขอนไม้ใหญ่ใช้เวลานานขึ้น เพราะเชื้อเห็ดจะอาศัยน้ำเลี้ยงจากเปลือกไม้เป็นอาหาร ดังนั้นถ้าขอนไม้แห้งเร็วเกินไปควรรดน้ำช่วยด้วย
- เมื่อเชื้อเห็ดเจริญได้ที่ และเปลือกไม้เริ่มผุจนย่างเข้าถึงฤดูฝน เห็ดก็จะออกดอกขึ้นมาเอง โดยไม่ต้อง รดน้ำ ปล่อยให้เห็ดเกิดดอกตามธรรมชาติ ซึ่งผลปรากฏว่า เห็ดออกดอกได้ปีละ 3 - 5 ครั้ง และ ผลผลิตต่อขอนก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมมาก โดยช่วงเวลาที่เห็ดออกดอกได้ดีเป็นช่วงเวลากลางคืน ถึงเช้ามืด

แต่ปัจจุบันนี้ การเพาะเห็ดขอนขาว เขามีการเพาะเห็ดขอนโดยใช้ก้อนเชื้อ เหมือนเห็ดนางฟ้ากันแล้ว แต่ต้องทำโรงเรือนนะ แล้วการเพาะโดยใช้ก้อนเชื้อ จะให้ผลผลิตที่ดีกว่า การเพาะแบบใช้ขอนไม้
ราคาขายส่งกิโลกรัมละ 55-60 บาท ขายปลีก กิโลกรัมละ 80-100 บาท ซึ่งหากเป็นช่วงฤดูหนาวจะมีราคาถึงกิโลกรัมละ 120-130 บาท

การเพาะเห็ดฟาง

เห็ดฟาง
เห็ดฟางเป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปีเดิมคนไทยเรียกเห็ดฟางว่า เห็ดบัว เพราะมีเกิดขึ้นได้เองในกองเปลือกเมล็ดบัวที่กะเทาะเมล็ดภายในออกแล้ว ต่อมาเมื่อมีการส่งเสริมให้ใช้ฟางเพาะจึงนิยม เรียกว่า เห็ดฟาง
การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า
เป็นรูปแบบการเพาะเห็ดฟางอีกแบบหนึ่งที่ทำได้ง่าย ใช้พื้นที่น้อยขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ทุกครัวเรือนสามารถทำได้เพื่อบริโภคในครัวเรือน ดอกเห็ดสามารถทยอยออกได้เรื่อยๆ เป็นการลดรายจ่ายด้านอาหารในครัวเรือน และสามารถทำเป็นกิจกรรมเสริมเพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ด้วย วัสดุที่ใช้เพาะก็สามารถใช้วัสดุเศษเหลือในไร่นาได้เกือบทั้งหมด เช่นเดียวกับการเพาะเห็ดฟางแบบอื่นๆ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ สามารถนำก้อนเชื้อเห็ดถุงที่เก็บดอกหมดแล้วทั้งเห็ดขอนขาว เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม มาเป็นวัสดุเพาะได้อีกด้วย

วัสดุ อุปกรณ์

- ตะกร้าพลาสติกสูงประมาณ 1 ฟุต ตาห่างประมาณ 1 ตารางนิ้ว
- เชื้อเห็ดฟาง
- ขี้เลื่อย / ฟางแห้ง
- อาหารเสริม (มูลสัตว์ผสมรำ อัตรา 1: 1) หรือปุ๋ยหมัก
- แป้งข้าวสาลี

ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า
เริ่มด้วยการนำขี้เลื่อย หรือฟางแห้งมาใส่ในตะกร้าพลาสติกที่เตรียมไว้ ให้มีความสูงประมาณ 2-3 นิ้ว และใช้มือหรือไม้กดให้แน่น จากนั้นนำเอาอาหารเสริมโรยให้ชิดด้านในของตะกร้าเป็นวงกลม บริเวณที่โรยให้มีความกว้างประมาณ 1 ฝ่ามือ ซึ่งใช้ประมาณ 1 ลิตร ต่อชั้น จากนั้นให้นำเชื้อเห็ดฟางออกจากถุง นำไปคลุกกับแป้งข้าวสาลีพอติดผิวนอก แป้งสาลีนี้จะเป็นอาหารเสริมระยะแรก ที่จะช่วยกระตุ้นให้เชื้อเห็ดเจริญเติบโตได้ดี แล้วโรยทับอาหารเสริมอีกชั้นหนึ่ง ทำเป็นชั้นๆ ลักษณะนี้จนเต็มตะกร้าพลาสติก รดน้ำซ้ำให้ชุ่ม หากก้อนเชื้อเห็ดที่นำมาเพาะยังชุ่มอยู่ก็ไม่ต้องรดน้ำ แต่หากแห้งก็รดน้ำให้ชุ่ม จากนั้น ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการเกิดดอกเห็ดโดยการปิดโรงเรือนให้มิดชิด ให้อยู่ในอากาศร้อนชื้น เช่น ด้านล่างควรใช้อิฐทับผ้าพลาสติกไว้ เพื่อป้องกันพลาสติกเปิดออก ภายในโรงเรือนควรติดเทอร์โมมิเตอร์ สำหรับวัดอุณหภูมิ ในช่วงวันที่ 1 ถึง 4 วันแรกต้องควบคุมอุณหภูมิในกระโจม หรือในโรงเรือนให้อยู่ในระดับ 37-40 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูงเกินไป ให้เปิดช่องระบายอากาศด้านบนของโรงเรือนออกเพื่อระบายอากาศร้อนออก ใช้วัสดุพรางแสงคลุมหรือรดน้ำรอบๆ โรงเรือน เมื่อครบกำหนด 4 วัน ให้เปิดผ้าพลาสติกหรือประตูโรงเรือนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศสะดวก เพื่อให้เส้นใยเห็ดฟางสร้างใยเชื้อเห็ด ถ้าวัสดุแห้งเกินไปให้รดน้ำซ้ำ ในระหว่าง วันที่ 5-8 ต้องควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนให้อยู่ระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียส ซึ่งในช่วงนี้จะมีการรวมตัวของเส้นใยเป็นดอกเล็กๆ จำนวนมาก เมื่ออายุได้ 9-12 วันก็สามารถที่จะเก็บดอกเห็ดจำหน่ายได้
ต้นทุนการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า/ตะกร้า

- ตะกร้า 35 บาท

- เชื้อเห็ด 6 บาท

- ขี้เลื่อย 3 บาท

- อาหารเสริม/แป้งข้าวสาลี 3 บาท

ผลผลิตการเพาะเห็ดในตะกร้า 0.5 - 1 กิโลกรัม/ตะกร้า ราคากิโลกรัมละ 50 บาท

การเพาะเห็ดนางฟ้า

เห็ดนางฟ้า
เห็ดนางฟ้ามีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับเห็ดนางรม ชื่อ "เห็ดนางฟ้า"เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นในเมืองไทย คนไทยบางคนเรียกว่าเห็ดแขก เนื่องจากมีผู้พบเห็นเห็ดนี้ครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย พบขึ้นตามธรรมชาติบนตอไม้เนื้ออ่อนที่กำลังผุ ในแถบเมืองแจมมู (Jammu) บริเวณเชิงเขาหิมาลัย ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Pleurotus sajor-caju (Fr.) Singer เห็ดนางฟ้าถูกนำไปเลี้ยงในอาหารวุ้นเป็นครั้งแรกโดย Jandaik ในปี ค.ศ. 1947 ต่อมา Rangaswami และ Nadu แห่ง Agricultural University, Coimbattore ในอินเดียเป็นผู้นำเชื้อบริสุทธิ์ของเห็ดนางฟ้าเข้ามาฝากไว้ที่ American Type Culture Collection (ATCC) ในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1975 และเมื่อปี ค.ศ. 1977 ทางกองวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้นำเชื้อจาก ATCC เข้ามาประเทศไทยเพื่อทดลองเพาะดู ปรากฏว่าสามารถเจริญเติบโตได้ดี
อีกสายพันธุ์หนึ่งเป็นเห็ดที่มีผู้นำเข้ามาจากประเทศภูฐาน มาเผยแพร่แก่นักเพาะเห็ดไทย ได้มีการเรียกชื่อเห็ดนี้ว่า เห็ดนางฟ้าภูฐาน มีหลายสายพันธุ์ซึ่งชอบอุณหภูมิที่แตกต่างกัน บางพันธุ์ออกได้ดีในฤดูร้อนบ้างพันธุ์ออกได้ดีในฤดูหนาว เป็นที่นิยมมาเพาะเป็นการค้ากันมาก
ลักษณะของดอกเห็ดนางฟ้า มีลักษณะคล้ายกับดอกเห็ดเป๋าฮื้อ และดอกเห็ดนางรม เมื่อเปรียบเทียบกับเห็ดเป๋าฮื้อ ดอกเห็ดนางฟ้าสีจะอ่อนกว่า และมีครีบอยู่ชิดกันมากกว่า เห็นนางฟ้าสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นนานได้หลายวัน เช่นเดียวกับเห็ดเป๋าฮื้อ เนื่องจากเห็ดชนิดนี้ไม่มีการย่อตัวเหมือนกับเห็ดนางรม ด้านบนของดอกจะมีสีนวลๆ ถึงสีน้ำตาลอ่อน ในอินเดียดอกเห็ดมีขนาดตั้งแต่ 5 - 14 เซ็นติเมตร และจะมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 30 - 120 กรัม เห็ดนางฟ้ามีรสอร่อย เวลานำไปปรุงอาหารจะมีกลิ่นชวนรับประทาน เห็ดชนิดนี้สามารถนำไปตากแห้ง เก็บไว้เป็นอาหารได้ เมื่อจะนำเห็ดมาปรุงอาหาร ก็นำไปแช่น้ำเห็ดจะคืนรูปเดิมได้
เห็ดนางฟ้าเติบโตดีที่ pH. 5 - 5.2 (คือเป็นกรดเล็กน้อย) อุณหภูมิที่เหมาะมากต่อเส้นใยคือ 32 องศาเซลเซียส และสร้างดอกเห็ดได้ดีที่ 25 องศาเซลเซียส เส้นใยสีขาวจัด มีความสามารถเชื่อมต่อเส้นใยได้ดี ให้น้ำตาลในแง่ของอาหารคาร์โบไฮเดรตได้ดีกว่าพวก โพลีแซคคาไรค์ หรืออาหารซับซ้อน

วงจรชีวิต ดอกเห็ดนางฟ้าเมื่อโตเต็มที่จะสร้างสปอร์บริเวณครีบ โดยการปล่อยสปอร์เมื่อแก่ออก เป็นระยะ ๆ เมื่อดอกเห็ดปล่อยสปอร์ออกมาแล้ว สปอร์ก็ปลิวไปตามกระแสลมไปตกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะงอกออกมาเป็นเส้นใยขั้นต้นมี 1 นิวเคลียส เส้นใยขั้นที่ 1 เมื่อเจริญเต็มที่แล้ว ก็จะมารวมตัวกัน ซึ่งอาจมาจากต่างสปอร์กัน การรวมตัวของเส้นใยขั้นที่ 1 จะเป็นการเชื่อมกัน แล้วถ่ายทอดนิวเคลียสมาอยู่ในเซลเดียวกัน กลายเป็นเส้นใยขั้นที่ 2 แล้ว ก็จะเจริญเติบโต และสร้างเส้นใยเห็ดแทนเส้นใยขั้นที่ 1 อย่างรวดเร็วบนอาหาร เมื่อเส้นใยขั้นที่ 2 เจริญบนอาหาร และโตเต็มที่แล้ว จะสะสมอาหารแล้วรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อสร้างดอกเห็ดต่อไป

การเพาะเห็ดนางฟ้า มี 4 ขั้นตอนด้วยกัน

1. เริ่มเรียนรู้วิธีการกินเห็ด เราจะทำธุรกิจเห็ดต้องกินเห็ดเก่ง ต้องปรุงอาหารจากเห็ดหลายชนิด ทำให้อร่อยด้วย สามารถแนะนำผู้ซื้อเห็ดไปปรุงเองได้อย่างมั่นใจ เช่นนี้ทำให้เราพร้อมต่อการขายเห็ด

2. ผลิตดอกเห็ดขาย 90% ของฟาร์มเห็ดที่ทำอยู่เริ่มจากวิธีนี้ โดยทำโรงเรือนขนาดย่อมๆ เพื่อใช้เพาะเอาดอกเห็ด ซื้อถุงเชื้อจากฟาร์มมาผลิตดอก โดยหาความชำนานและความรู้ไปเรื่อยๆ จนเชี่ยวชาญ ขั้นนี้อย่าเพิ่งลงทุนทำถุงเชื้อเอง ให้ซื้อถุงเชื้อจากฟาร์มที่ทำขายดีกว่า เริ่มจากน้อยๆ ทยอยทำ ได้เห็ดมาก็นำไปขายตลาด ขายเองหรือส่งแม่ค้าก็ได้ ขยายตลาดดอกเห็ดเพิ่มมากขึ้นไปเป็นลำดับ จนตลาดใหญ่ขึ้นและสม่ำเสมอดีแล้วจึงคิดผลิตถุงเชื้อ แต่ถ้าตลาดไปไม่ได้ก็หยุดแค่นั้น ไม่ขาดทุนมาก
3. ผลิตถุงเชื้อเห็ด ถ้าตลาดรับซื้อเห็ดและถุงเชื้อมากพอ จึงตั้งหน่วยผลิตถุงเชื้อได้ แต่ถ้าคำนวณว่าซื้อถุงถูกกว่าผลิตเองก็ไม่ควรทำ ควรไปดูฟาร์มทำถุงเชื้อหลาย ๆ ฟาร์ม แล้วมาคำนวณว่าเครื่องมือและวิธีการแบบใดดีที่สุด เตรียมการเอาคนคุมงานไปฝึกงานในฟาร์ม หรือติดต่อจ้างคนชำนาญในฟาร์มเก่ามาทำฟาร์มใหม่ ขั้นตอนนี้ก็ควรซื้อเชื้อข้าวฟ่าง ยังไม่ควรทำเอง การลงทุนขนาดเล็กจะใช้หม้อต้มไอน้ำต่างหาก (สตีมเม่อร์) แล้วต่อท่อมาอบถุงขี้เลื่อยในอีกหม้อต่างหาก ถ้างานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นสมควร แล้วค่อยผลิตเชื้อข้างฟ่างและซื้อวุ้นต่อไป
4. ผลิตเชื้อวุ้นและเชื้อข้าวฟ่าง เริ่มทำเมื่องานฟาร์มมีขนาดใหญ่มาก สำหรับระยะ 1 - 2 ปี ที่ผ่านมานั้นถ้ายังไม่ทำเชื้อวุ้นและเชื้อข้าวฟ่างมาก่อน ก็ไม่ควรทำขึ้นใหม่ มีผู้ทำขายมากอยู่แล้ว ซื้อเขาใช้ดีกว่า นอกจากจะห่างไกลซื้อยากจริงๆ แล้วต้องใช้มากจึงค่อยทำ

วิธีการ และ วัตถุดิบ

การเพาะเห็ดนางฟ้า หรือเห็ดในสายพันธุ์นางรมทุกชนิดเป็นเห็ดที่กินหรือเจริญได้ในพวกเวลลูโลส เช่นพวกไม้ หญ้า ฟางข้าว แต่ที่นิยมใช้เป็นวัสดกุเพาะได้แก่พวกขี้เลื่อยไม้ยางพารา หรือพวกไม้เนื้ออ่อนทุกชนิด โดยเฉพาะขี้เลื่อยไม้ยางพารามีมากทางภาคใต้ จึงเหมาะในการเพาะเห็ดมาก ก่อนที่ท่านจะทำการเพาะเห็ดนางฟ้าให้ได้ท่านจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างให้พร้อมดังนี้

1. ขี้เลื่อยไม้ยางพารา หรือไม้เนื้ออ่อน จำนวน100 ก.ก.(ในการทำครั้งละ100ก.ก.)

2. ดีเกลือที่มีขายตามท้องตลาด ราคา ก.ก.ละ 10-20 บาท ใช้ประมาณ 2-3ขีด

3. ปูนขาวหรือยิปซัม จำนวน 1 ก.ก. เพื่อปรับสภาพการเป็นกรดของวัสดุเพาะ

4. รำข้าวละเอียด จำนวน 3-5 ก.ก.

5. ถุงทนร้อนพับก้นขนาด 6 นิ้วครึ่ง คูณ 12 นิ้ว ก.ก.ละ 60-70 บาท (ก.ก.จะบรรจุได้250ถุง)

6. คอขวดสำหรับสวมปากถุง มีจำหน่ายอันละ 35 สตางค์

7.ฝาปิดปากถุง อันละ 65 สตางค์

8. สำลีสำหรับปิดฝา

9. ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร มีฝาปิด(แล้วแต่จะทำมากหรือน้อย 1 ถังบรรจุถุงได้ 80-90ถุง)

วิธีทำ นำขี้เลื่อย จำนวน 100 ก.ก.ดีเกลือ 3 ขีด ปูนขาวหรือยิปซัม 1กก. รำละเอียด 3-5 กก.นำมาคลุกเคล้าผสมให้เข้ากันแล้วใส่น้ำสะอาดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันโดยอย่าใส่น้ำจนเปียกหรือแฉะทดสอบได้โดยการกำขี้เลื่อยที่ผสมเรียบร้อยแล้วว่าจับกันเป็นก้อนดีหรือไม่โดยไม่มีน้ำไหลออกมาและเมื่อคลายมือออกขี้เลื่อยจับกันเป็นก้อนดีเป็นอันว่าใช้ได้ แล้วนำมาบรรจุถุงใส่ถุงให้เกือบเต็มแล้วอัดให้แน่นอย่าให้หลวม จากนั้นนำคอขวดมาสวมแล้วพับปากถุงลงมาปิดด้วยฝาปิดที่อัดด้วยสำลีเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าได้ก้อนปุ๋ยแล้ว นำก้อนปุ๋ยที่ได้ไปนึ่งในถัง 200 ลิตรโดยทำชั้นวางก้อนไว้ใส่น้ำทำการนึ่ง โดยจะต้องดูให้น้ำเดือดก่อนโดยมีไอน้ำพุ่งออกมาจึงปิดฝาให้สนิทแล้วเริ่มจับเวลาจะต้องนึ่งให้ได้ 2-3 ชั่วโมง เมื่อได้เวลาแล้วตั้งก้อนปุ๋ยให้เย็นแล้วนำเชื้อเห็ดที่เจริญเต็มที่ในเมล็ดข้าวฟ่างมาเขี่ยใส่ถุง ในการทำทุกขั้นตอนจะต้องมีความสะอาดเพราะเชื้อราอื่นๆที่อยู่ในอากาศจะเข้าไปทำลายได้โดยเฉพาะราเขียวจะทำให้ก้อนเชื้อไม่เดินเส้นใย(สามารถเช็ดด้วยแอลกอฮอล์) จากนั้นปิดด้วยกระดาษไม่ต้องปิดด้วยฝาปิดเพราะจะได้นำไปทำต่ออีก เมื่อเขี่ยเชื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วให้นำก้อนเชื้อไปวางเรียงก้อนใว้ในที่ร่มหรือโรงเรือนที่เตรียมไว้สำหรับการออกดอกก็ได้ โดยเพาะเชื้อไว้2-3วันก็จะเห็นเส้นใยเดินเหมือนใยแมงมุมพักไว้ 25-30 วันก็สามารถเปิดปากถุงรดน้ำแต่อย่าให้น้ำเข้าในถุงจะทำให้ก้อนเชื้อเสียได้ รอประมาณ 5-7 วัน ก็จะเกิดดอกเห็ดขึ้นมาให้ท่านได้ชื่นชมแล้วประมาณ 2-3 วันก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว สามารถเก็บดอกจำหน่ายได้ทุกวันจนครบอายุ 5 เดือน

ราคามาตรฐานอยู่ที่ กิโลกรัมละ 20-25 บาท ( เช็ดราคาจริงตามตลาดอีกที )